เตรียมตัวเข้ามหาลัยด้วยการเข้าใจศักยภาพและความชอบของตัวเองด้วยการวิเคราะห์ลายนิ้วมือ
เมื่อเด็กๆเริ่มก้าวเข้าสู่วัยมัธยม พ่อแม่ก็คงเริ่มเกิดความกังวลขึ้นมาบ้าง เพราะในวัยนี้เป็นช่วงที่ต้องทดลองอะไรใหม่ๆเพื่อค้นหาตัวเอง เนื่องจากเป็นวัยที่จะชี้อนาคตของตัวเด็กได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสายเรียนในช่วงมัธยมปลาย หรือการเลือกคณะเพื่อเรียนต่อในมหาวิทยาลัย พ่อแม่บางคนส่งลูกไปเรียนรู้ด้านความสามารถพิเศษต่างๆ เพื่อมองหาสิ่งที่ชอบ แต่กว่าจะค้นพบสิ่งที่ต้องการ ก็อาจจะต้องใช้เวลาอยู่หลายปี เด็กบางคนกว่าจะค้นพบตัวเองได้จริงๆ ก็หลังจากได้เข้าสู่รั้วมหาลัยไปแล้ว พ่อแม่หลายท่านจึงต้องมองหาทางลัดในการวิเคราะห์ศักยภาพในตัวลูกน้อย ซึ่งอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมกันมากก็คือ การวิเคราะห์ลายนิ้วมือ หรือ Dermatoglyphics นั่นเอง
หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าลายนิ้วมือของเรานั้น เกิดจากเซลล์ชนิดเดียวกับสองของเรานี่เอง ทำให้ลายนิ้วมือที่ปรากฏนั้น มีความสัมพันธ์กับสมองของแต่ละคนด้วย เหตุนี้เองทำให้เกิดศาสตร์ที่ชื่อว่า Dermatoglyphics ขึ้นมา โดยกระบวนการก็คือ เจ้าหน้าที่จะทำการสแกนลายนิ้วมือของเราทั้งสิบนิ้วด้วยเครื่องมือที่มีความแม่นยำสูง และจะถูกนำไปวิเคราะห์เพื่อถอดรหัสพันธุกรรม ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะ หลังจากนั้นจะแสดงผลศักยภาพในด้านต่างๆของผู้เข้ารับการวิเคราะห์ออกมาในรูปของรายงาน
นอกจากนี้ยังแสดงรายการพรสวรรค์ในด้านต่างๆออกมา เพื่อให้พ่อแม่สามารถเลือกส่งเสริมลูกน้อยได้อย่างตรงจุด
อย่างที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ว่า ในช่วงวัยรุ่น ถือเป็นวัยที่กำลังค้นหาตัวตน สร้างความเชี่ยวชาญ และจะติดตัวไปตลอดชีวิต มองตามความเป็นจริง หากลูกน้อยไม่ได้เข้าตรวจและต้องการมองหาพรสวรรค์ด้วยตนเอง ในช่วงนี้อาจต้องหาสิ่งต่างๆมาทดลองทำอยู่เรื่อยๆ บางคนถึงกับส่งลูกไปเรียนแทบทุกด้านจนเด็กเกิดความเครียด แต่ด้วยความที่ยังมุ่งเน้นไม่ตรงจุด ทำให้สิ่งที่ได้ทดลองทำทั้งหมดนั้น ยังไม่ใช่พรสวรรค์ของตนเองก็ได้ ในขณะที่รายงานที่ได้รับจากการตรวจลายนิ้วมือจะช่วยตัดตัวเลือกออกไป เหลือเพียงแค่สิ่งที่มีโอกาสเป็นพรสวรรค์ของเด็กเท่านั้น ทำให้สามารถค้นพบสิ่งที่รักได้รวดเร็วมากขึ้น ดังนั้นหากมีโอกาสได้เข้ารับการค้นหาพรสวรรค์ด้วยการวิเคราะห์ลายนิ้วมือวัยนี้ จะช่วยให้เด็กสามารถค้นพบตัวเองได้เร็วขึ้น นำไปสู่การมองหาสไตล์ในการเรียนรู้เพื่อยกระดับความสามารถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่พ่อแม่เอง ก็สามารถส่งเสริมลูกๆได้อย่างตรงจุด
มีเคสหนึ่งที่พ่อแม่ได้ส่งลูกไปเรียนรู้ในแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านวิชาการ ศิลปะ ดนตรี กีฬา รวมไปถึงทักษะอื่นๆ ที่คิดว่าเด็กในวัยนั้นควรจะชอบ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังมองหาสิ่งที่เด็กรักไม่เจอ จนหลังจากได้เข้าเรียนในมหาลัยไปแล้ว จึงรู้ว่าแท้จริงแล้ว ลูกน้อยของตัวเองนั้น มีความสามารถในด้านการเขียนโปรแกรมและสร้างเว็บไซต์นั่นเอง ในตัวอย่างนี้ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ไม่ได้สนับสนุนในสิ่งที่ลูกชอบ แต่ความผิดพลาดเกิดจากการที่พ่อแม่นึกไม่ถึงว่ามีวิชานี้ด้วย เท่านั้นเอง